สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร
Department of Education
การส่งเสริมพัฒนาทักษะสมอง (Executive Functions : EF) ของเด็กปฐมวัย บนพื้นฐานพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน
โรงเรียนมนต์จรัสสิงห์อนุสรณ์
กระบวนการพัฒนา

1. ขั้นเตรียมการ

                    - ประชุมชี้แจงขยายผลการอบรม

          2. ขั้นดำเนินงานประชุมคณะกรรมการ และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะสมอง EF บนพื้นฐานพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ดังนี้

                    - กิจกรรมโครงงาน

                    - กิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์

                    - กิจกรรมศิลปะที่เน้นกระบวนการ

                    - กิจกรรมการเล่นอิสระ

                    - กิจกรรมการเล่นบทบาทสมมติและเล่นละคร

          3. ขั้นประเมินผล

                    - ประเมินผลการดำเนินงาน

          4. ขั้นปรับปรุงแก้ไข

                    - รับข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ พัฒนาโครงการต่อไป


ผลจากการปฏิบัติ

4. ผลจากการปฏิบัติ

    4.1 การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะสมอง EF บนพื้นฐานพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ดังนี้      

          4.๑.1 กิจกรรมโครงงาน

          การเรียนรู้แบบโครงงานเด็กจะได้เรียนรู้กระบวนการหาความรู้จากการปฏิบัติจริง ทั้งกิจกรรมในและนอกห้องเรียน การเรียนรู้นั้นเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดวางแผน ตัดสินใจ ค้นคว้า ทดลอง แก้ปัญหา และทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง โครงงานจะได้ทั้งกิจกรรมรายบุคคล ร่วมมือทำในกลุ่มย่อย และที่เด็กๆทั้งห้องทำร่วมกัน ขณะที่ทำโครงงานครูจะจดบันทึกการเรียนรู้ของเด็กในด้านต่างๆ ทำให้สามารถติดตามผลพัฒนาการและศักยภาพด้านต่างๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมรณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็กได้อย่างต่อเนื่อง

          การทำโครงงานเสื้อชูชีพขวดน้ำ

          ) นักเรียนช่วยกันออกแบบเสื้อชูชีพขวดน้ำ

         

 

 

 

 

 

 

          ) นักเรียนประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเสื้อชูชีพขวดน้ำเข้าด้วยกันกับเสื้อกั๊กที่ไม่ใช้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 


) นักเรียนทดสอบการทำงานและสวมใส่เสื้อชูชีพขวดน้ำพลาสติกให้สามารถทำงานได้เป็นอย่างดี

 

 

 

 

 

 

 

 

 

) นักเรียนตกแต่งลวดลายของผลงาน เสื้อชูชีพขวดน้ำพลาสติก ให้ออกมาสวยงาม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


          5.) นำเสนอผลงานบนเวทีความรู้หน้าเสาธง

 

 

 

 

 


          4.1.2 กิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์

          การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาความคิดให้เป็นคนที่มีเหตุผล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักการคิดวิเคราะห์และสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ โดยเฉพาะด้านสติปัญญา ที่เป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ การอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง วัยแห่งการตั้งคำถามสงสัยใคร่รู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อเป็นการพัฒนานักเรียนให้รู้จักตั้งคำถามอย่างมีเหตุมีผลใช้ทักษะที่เหมาะสมกับวัย รู้จักใช้ภาษาที่เหมาะสมกับวัยเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นระบบ

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์ 
เรื่อง จมหรือลอย

 

 

 


 

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์
 เรื่อง ผักเปลี่ยนสี

 

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ของเหลวแยกชั้น

 

 

 

 

 

 


กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ถุงมหัศจรรย์

 

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  นมวิเศษ

 

 

 

 


                                     

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  แพจากหลอด

    

 

 

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  เสียงตามสาย

\

 

 

 

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ลูกโป่งพองโต

 

 

 




กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ภูเขาไฟระเบิด
กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  นักดำน้ำลวดเสียบกระดาษ
กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ปั๊มขวดและลิฟท์เทียน
กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  สนุกกับฟองสบู่

 

 

 


 

 

 

 


 

 

 


 

 


               

 

                     

    

กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ไหลแรงหรือไหลค่อย
กล่องข้อความ: การทดลองทางวิทยาศาสตร์  
เรื่อง  ไข่ลอยน้ำ
ย

 

 


 

 

 

 

 

 

 


          ผลการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ที่เกิดจากการเรียนรู้แบบโครงงาน และ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์

               1.  ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory)   

              การเรียนแบบโครงงาน และการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้น เด็กๆจะได้นำความรู้ที่ตนเองได้ค้นหา ข้อสงสัย แล้วเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวัน และประสบการณ์เดิม เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับรู้ ข้อสงสัยนั้น มาสู่การลงมือปฎิบัติจริงและการทดลอง รวมทั้งนำมาวิเคราะห์ หรือค้นหาคำตอบกับคำถามใหม่ๆ หรือสิ่งที่เด็กสงสัยในห้องเรียน ร่วมทั้งใช้สิ่งที่เด็กเรียนรู้มานั้น นำมาทดลองแก้ปัญหากันในห้องเรียน   2. ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control)

              ในขณะที่เด็กทำกิจกรรมร่วมกัน หรือทำด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน การทดลอง ดังนั้นเด็กๆจะต้องมีการยั้งคิดไตร่ตรองเสมอ เพื่อให้ตนเองปฎิบัติกิจกรรมตามกติกาที่คุณครูได้ตั้งไว้ในการทำงานร่วมกัน ว่าใครทำหน้าที่อะไร และเวลาใด นอกจากนั้นๆเด็กๆยังต้องควบคุมตัวเองในการทำกิจกรรมต่างๆที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เช่น อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ที่มีความร้อน และอันตรายอื่นๆ เด็กๆจึงต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ในการกระทำสิ่งที่เหมาะสมและปลอดภัย

          3. ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility)

              การเรียนรู้แบบโครงงานและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เด็กๆจะได้เปรียบเทียบจินตนาการ และต่อยอดความรู้ที่มีอยู่แล้วเพื่อสร้างสิ่งใหม่หรือสิ่งที่ใกล้เคียง และเด็กๆได้เกิดการยอมรับฟังความคิดเห็นใหม่ๆ ที่ได้จากเพื่อนๆ หรือจากการทดลองค้นคว้าต่างๆที่เกิดขึ้นในก่อนทำกิจกรรม ขณะทำกิจกรรม และหลังการจัดกิจกรรม

          4.  ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus/Attention)

                 เด็กๆได้ทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฎิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง การสังเกต การทำงานศิลปะและกิจกรรมอื่นๆ เด็กๆจะได้ฝึกฝนทักษะในการจดจ่อ ใจใส่ เพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆให้สำเร็จ

          5. ทักษะการควบคุมอารมณ์ (Emotion Control)

              การเรียนรู้ร่วมกัน การทำงานร่วมกัน ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง

          6. ทักษะการประเมินตัวเอง (Self-Monitoring)

              ผลงานที่เกิดจากการทำงานหรือสร้างสรรค์ชิ้นงานของเด็กๆ ไม่ได้ลงเอยด้วยความสำเร็จทุกครั้งเด็กๆ จึงมีโอกาสที่จะวิเคราะห์สิ่งที่ทำและผลงานตนเอง และพัฒนาชิ้นงานจนเป็นที่พอใจ

          7. ทักษะการริเริ่มและลงมือทำ (Initiating)

              การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมโครงงานและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้เด็กริเริ่ม วางแผน และลงมือทำ เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูก จนเกิดผลงานหรือเกิดบทสรุปของการเรียนรู้จากการลงมือทำ

          8. ทักษะการวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing)
          การทำโครงงานหรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์เด็กๆมีการตั้งสมมติฐาน การตั้งเป้าหมาย
การวางแผน การมองเห็นภาพรวม ซึ่งเด็กที่ขาดทักษะนี้จะวางแผนไม่เป็น ทำให้งานมีปัญหา

          9. ทักษะการมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence)

          การทำโครงงานหรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เด็กๆมีความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย มีความตั้งใจและได้ลงมือปฎิบัติกิจกรรมแล้ว มีความมุ่งมั่น ในการทำโครงงาน และทำกิจกรรมทดลองนั้นให้สำเร็จ

 

          4.1.3 กิจกรรมศิลปะที่เน้นกระบวนการ

          ศิลปะที่เน้นกระบวนการเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้จากการสัมผัส สิ่งต่างๆที่มีพื้นผิวลักษณะต่างกัน ทำให้เกิดโอกาสที่เด็กจะได้แสดงออกถึงประสบการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับตนเองในทุกแง่มุม ช่วยให้เด็กๆ ได้ทดลอง สร้างสรรค์เสริมสร้างทักษะการคิด และการตัดสินใจ ช่วยให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก และศิลปะจะเป็นสิ่งที่สนุกสนานสำหรับเด็ก

   

 

 

 

 

 

         

         

 

 

 

 

 

 



 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

          ผลการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ที่เกิดจากกิจกรรมศิลปะที่เน้นกระบวนการ

          เด็กๆได้เรียนรู้กระบวนการในการทำศิลปะ ด้วยการให้เด็กทำอย่างเสรีไม่มีผิดไม่มีถูก จึงทำให้เด็กมีความมั่นใจในตนเองสูงที่จะทำตามความคิดของตนเองจนสำเร็จ สามารถจดจ่อทำกิจกรรมได้ในระยะนานขึ้น อันเป็นทักษะกำกับตนเองที่ดี สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะใช้สื่อต่างๆ ด้วยตนเอง พัฒนาและใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาได้ดี สามารถวางแผนในการเลือกใช้อุปกรณ์ มีทักษะในการทำงานกับเพื่อน พัฒนาอารมณ์ และสังคม ยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลง ใช้สิ่งทดแทนแปลกใหม่ มีทักษะปฏิบัติได้ดี ทั้งการริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดวางแผน การมีเป้าหมาย รวมถึงเมื่อลงมือทำอาจไม่สามารถทำได้ตามที่ตนเองตั้งใจไว้ ก็สามารถที่จะยืดหยุ่นความคิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง เมื่อให้เด็กๆได้ทำกิจกรรมศิลปะที่เน้นกระบวนการไปเรื่อยๆ เด็กจะสามารถควบคุมอารมณ์ มีความพยามยามทำให้สำเร็จได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

 

    4.4 กิจกรรมการเล่นอิสระ

          การเล่นอย่างอิสระเป็นการเล่นที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กในทุกด้านทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจการเล่นมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็ก-กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ระบบการรับสัมผัส การทำงานประสานกันระหว่างอวัยวะส่วนต่างๆ และการทำงานของสมอง นอกนั้นยังช่วยให้เด็กมีทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปัน การอดทนอดกลั้น การขจัดความขัดแย้ง ประนีประนอมมีน้ำใจ รู้จักการให้อภัย ผลัดกันเป็นผู้นำและผู้ตาม  ส่งเสริมให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะคิดและลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นต้นทางของการส่งเสริมทักษะด้านการคิด การวงแผน ลงมือทำ กล้าเผชิญปัญหา จนให้เกิดนิสัยของความขยัน กระตือรือร้น สนุกและจะคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ

 

 

 

 

 

          ผลการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ที่เกิดจากกิจกรรมการเล่นอิสระ

          เด็กๆได้รับการพัฒนาทักษะสมอง (EF) จากการเล่นอิสระซึ่งการเล่นเป็นสิ่งที่เด็กสนุกสนานและพร้อมทุกเมื่อ เด็กสนุกที่ได้ออกแบบการเล่น ได้ใช้จิตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และนำทุกทักษะที่ฝึกฝนมาใช้ใน  การเล่นภายใต้บรรยากาศของความมีอิสระ ที่จะได้เล่นและลงมือทำด้วยตนเอง การเล่นอิสระจึงเป็นช่วงเวลาที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี ดังนี้

          1.  ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory)   

              เด็กมีการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เก่านำมาสู่การเล่น การตั้งเป้าหมาย วิธีการเล่น

การเลือกใช้อุปกรณ์ประกอบการเล่น ตลอดจนการแก้ไขปัญหา

          2. ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control)

              เด็กได้เรียนรู้ที่ยับยั้งชั่งใจ และปรับเปลี่ยนการเล่นเมื่อเห็นว่าการเล่นอาจทำให้ทะเลาะกัน หรือเกิดอันตรายขึ้น ทำให้ต้องยุติการเล่น

          3. ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility)

              เด็กมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนการเล่น ไปตามสถานการณ์และความต้องการของผู้เล่นหากมีเพื่อนร่วมเล่นด้วย มีการปรับเปลี่ยนให้การเล่นสนุกสนานยิ่งขึ้น

          4.  ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus/Attention)

                 เด็กมีความุ่งความสนใจ และมีสมาธิกับการเล่นอย่างต่อเนื่อง และจดจ่อได้เป็นระยะเวลานานกว่าการทำกิจกรรมอื่นๆ เพราะเป็นการจดจ่อที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานอารมณ์ในทางบวก ตื้นเต้น ภาคภูมิใจ

          5. ทักษะการควบคุมอารมณ์ (Emotion Control)

              เด็กพยายามที่จะอดทนเมื่อเกิดปัญหาระหว่างการเล่น ความขัดแย้งกับเพื่อน และหาวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อให้การเล่นดำเนินต่อไปได้

          6. ทักษะการประเมินตัวเอง (Self-Monitoring)

              เด็กมีการประเมินตนเองอยู่เป็นระยะว่าการเล่นจะเกินกำลังตัวเองหรือไม่ต้องหาเพื่อนมาใช้หรือเปล่า เล่นได้หรือเปล่า การเล่นช่วยให้เด็กได้ตรวจสอบตนเอง ทักษะที่ต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อให้การเล่นของตัวเองครั้งต่อไปดีขึ้น

          7. ทักษะการริเริ่มและลงมือทำ (Initiating)

              เด็กเป็นผู้เลือกและตัดสินใจที่จะเล่นและเลือกวิธีเล่นด้วยตนเอง เด็กสนุกที่สร้างสรรค์การเล่นใหม่ๆ หรือเล่นซ้ำๆ เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ๆ คิดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว

          8. ทักษะการวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing)
              เด็กมีการวางแผนการเล่น จะทำอะไร ใช้อะไร เล่นเครื่องเล่นชิ้นไหน ชวนใครมาเล่นด้วย และระหว่างการเล่นอาจมีการปรับแผนการเล่นเป็นระยะ เพื่อให้การเล่นดำเนินไปอย่างลื่นไหล สนุกสนานยิ่งขึ้น

          9. ทักษะการมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence)

              เด็กกำหนดเป้าหมายการเล่นเอง และพยายามไปสู่เป้าหมายด้วยตนเอง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการเล่น มีความพยายามหาวิธีการเล่นใหม่ๆ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่เด็กที่ตั้งใจไว้

    4.5 กิจกรรมการเล่นบทบาทสมมติและเล่นละคร

          การเล่นบทบาทสมมติเด็กสามารถทำได้ด้วยตนเอง เพราะการเล่นบทบทบาทสมมติเป็นตัวละครเด็กมีจิตนาการที่พร้อมจะถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ หรือสื่อสารความรู้สึกนึกคิดของเด็กที่มีต่อสิ่งรอบตัว โดยได้นำความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์เดิม หรือได้เรียนรู้มา ปฎิสัมพันธ์บทบาทของคนในครอบครัว ในโรงเรียนมาเล่นบทบาทสมมติอย่างอิสระ เด็กจึงได้รับประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาเด็กในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านอารมณ์ สังคมและส่งผลต่อการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ได้เป็นอย่างดี

                             

 

 

                                     

 

 

 

 

                                     

 

 

    

          ผลการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ที่เกิดจากกิจกรรมเล่นบทบาทสมมติและเล่นละคร

          จากกิจกรรมเล่นบทบาทสมมติและเล่นละคร ซึ่งเป็นการนำพาเด็กเข้าสู่การจำลองสถานการณ์ที่คล้ายจริง ช่วงเวลาสร้างสรรค์จะเปิดโอกาสให้เด็กได้สำรวจตรวจสอบความคิดของตนเองอย่างจริงจังโดยไม่รู้ตัว บทสนทนาที่เด็กพูดขณะ “สวมบท” สะท้อนว่าเด็ก “สื่อสาร” อย่างไร และเด็ก “คิด” อย่างไรเกี่ยวกับตัวละครนั้น ประเด็นสำคัญของการเล่นบทบาทสมมติและการเล่นละคร เด็กสามารถทำได้เต็มที่ไม่มีแรงกดดันและไม่กลัวผิดและยังช่วยส่งเสริมวิธีการเรียนรู้และทักษะการทำงานรวมกัน ส่งเสริมจิตนาการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ และส่งเสริมเทคนิคการใช้ร่างกายได้อย่างถูกต้อง สร้างความมั่นใจ กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง การเล่นบทบาทสมมติและเล่นละคร มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะสมอง (EF) ในหลายทักษะด้วยกัน ดังนี้

          1.  ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory)   

              เด็กมีการเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เก่านำมาสู่การเล่น การตั้งเป้าหมาย วิธีการเล่น

การเลือกใช้อุปกรณ์ประกอบการเล่น ตลอดจนการแก้ไขปัญหา และการจัดทำฉากประกอบการแสดง

          2. ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility)

              เด็กเล่นหรือแสดงร่วมกับเพื่อน เด็กจะได้ฝึกทักษะความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเสมอบนเวที แต่การแสดงต้องดำเนินต่อไป

          3. ทักษะการควบคุมอารมณ์ (Emotion Control)

              เด็กพยายามที่จะอดทนเมื่อเกิดปัญหาระหว่างการเล่น และหาวิธีการที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อให้การเล่นบทบาทสมมติและการเล่นละครดำเนินต่อไปได้

          4. ทักษะการริเริ่มและลงมือทำ (Initiating)

              เด็กเป็นผู้เลือกและตัดสินใจที่จะเล่นและเลือกวิธีเล่นด้วยตนเอง เด็กสนุกที่สร้างสรรค์การเล่นใหม่ๆ หรือเล่นซ้ำๆ เพื่อให้เกิดทักษะใหม่ๆ คิดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว

          5. ทักษะการวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing)
              เด็กมีการวางแผนว่าจะเล่นเป็นตัวอะไร สวมบทบาทใคร หรือแสดงอะไร ต้องตระเตรียมอะไรบ้าง

          6. ทักษะการมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence)

              เด็กมีเป้าหมายในการเล่นหรือแสดง และพยายามไปสู่เป้าหมายด้วยความมุ่งมั่นเพื่อให้การแสดงนั้นจบอย่างที่เด็กตั้งเป้าหมายไว้

 

 

 

 


เอกสารเพิ่มเติม :[ดาวน์โหลดเอกสาร]