สาระสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครู
ผู้เรียน
สื่อและแหล่งการเรียนรู้ทั้งระบบของการจัดการเรียนรู้โดยองค์รวมการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และให้ความสำคัญกับการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ดังนั้นการจัดการเรียนรู้จึงต้องเน้นถึงความสนใจของผู้เรียนบนฐานแนวคิดที่หลากหลาย
และสอดคล้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาชาติ มาตราที่ 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย
ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้คู่คุณธรรม มีจริยธรรม
คุณธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข รวมถึงเน้นการพัฒนาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์
และเน้นการสร้างคุณธรรมจริยธรรม จิตสำนึกสาธารณะให้เกิดกับผู้เรียน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลตามสนใจและความถนัดตามวุฒิภาวะของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย
นับว่าเป็นการจัดการเรียนรู้ในช่วงวัยที่สำคัญมาก เพราะเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่ศักยภาพของการเรียนรู้ของเด็กเจริญงอกงามอย่างรวดเร็วมากถ้าได้รับการพัฒนาอย่างเข้าใจ
นอกจากนี้พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
ก็สามารถส่งเสริมให้พัฒนาขึ้นได้เป็นปริมาณมากด้วยกิจกรรมการเรียนรู้บนฐานของความเข้าใจด้วยเช่นกัน เป็นที่ยอมรับกันว่าการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย รวมทั้งการส่งเสริมศักยภาพทางการเรียนรู้ของเด็กผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ทางศิลปะ
เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยได้
ทั้งนี้เพราะกิจกรรมศิลปะสนุก จะและสามารถกระตุ้นความสนใจของเด็กให้อยากเรียนรู้ศิลปะได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เด็กปฐมวัยชอบแสดงออกทางศิลปะ นอกจากนี้กิจกรรมศิลปะยังเป็นกิจกรรมที่สามารถตอบสนองการแสดงออกทางด้านจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ของเด็กได้อย่างอิสระเพราะ
เป็นกิจกรรมที่ยืดหยุ่นไม่มีหลักเกณฑ์เรื่องความถูก หรือผิด
มากำหนด กิจกรรมศิลปะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความชอบ
ของผู้แสดงออกมากกว่า จึงมีธรรมชาติของกิจกรรมที่สอดคล้องกับความสนใจของเด็กปฐมวัย อย่างไรก็ตามการจัดกิจกรรมศิลปะเพื่อพัฒนาเด็กผู้จัดกิจกรรมจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ
ในการจัดกิจกรรมเป็นอย่างดีเพราะการสอนศิลปะเป็นดาบสองคม
หากผู้จัดกิจกรรมหรือผู้สอนศิลปะเข้าใจเด็กก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าพัฒนาอย่างขาดความเข้าใจแทนที่จะส่งเสริมพัฒนาเด็กอาจกลายเป็นการทำลายไปเสียก็ได้
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
คือการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้วิธีคิดการใช้ชีวิต
และการทำงานซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้
สำหรับเด็กในยุคดิจิทัลที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
จึงต้องคำนึงถึงรวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบบูรณาการทักษะความคิดสร้างสรรค์โดยผ่านกระบวนการทางศิลปะ
เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้แบบไม่ใช่การท่องจำ แต่การจำเป็นฐานของการเรียนรู้
การจำทำให้คนเกิดวิธีการสร้างความจำ มีหลายวิธีโดยเฉพาะที่ใช้กันมากคือท่องจำ
เขียนซ้ำหลาย ๆ จบ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความจำระยะสั้น
การเข้าใจจะทำให้เกิดความจำระยะยาวส่วนหนึ่ง
ซึ่งถ้าเสริมซ้ำจะทำให้การจำระยะยาวมีเพิ่มมากขึ้น
การใช้ศิลปะอย่างหนึ่งคือการนำศิลปะมาย้ำการเรียนรู้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ครูสามารถจัดเป็นกิจกรรมขณะเรียนหรือให้เป็นการบ้าน
ด้วยการให้ระบายสีลงในรูปภาพที่เรียน ตัวอย่างเช่น เด็กเรียน ก. ไก่แล้ว
เพื่อให้จำได้ ครูมอบหมายให้เด็กระบายสีอักษร ก. และระบายสีภาพไก่ในใบงานต่อไปนี้
ศิลปะย้ำนี้ใช้ เพื่อสร้างเสริมการจำจากความประทับใจขณะทำกิจกรรมศิลปะ
สมองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
การที่จะพัฒนาการทำงานของสมองนั้นต้องอาศัยการจัดกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นให้สมองทั้ง
2 ซีก กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain
Based Learning: BBL) โดยใช้รูปแบบสนามเด็กเล่น
กิจกรรมนี้จะเป็นการให้ผู้เรียนได้เสริมสร้างสมองโดยการออกกำลังกายที่อันจะส่งผลให้สมองทั้ง
2 ซีกและกล้ามเนื้อมีการพัฒนา
ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ทฤษฎีศิลปะและศิลปะปฏิบัติและนำมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้
จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือการ
เจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และ พฤติกรรม และศิลปะคือ
เครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะ กระบวนการทางศิลปะไม่มีขอบเขตแห่งการสิ้นสุด
สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอด เวลานอกจากนี้ยังช่วยให้เด็ก
เกิดความคิดที่ต่อเนื่องอย่างไม่จบสิ้น
สิ่งที่ตนคิดและรู้สึกโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารทางตัว
อักษรได้ดีทำให้เด็กรักการทำงานและมีความภาคภูมิใจในตนเองและก้าวไปยังโลกแห่ง
จินตนาการอย่างไม่มีขอบเขต ดังนั้นทางโรงเรียนวัดสะแกงาม สำนักงานเขตบางขุนเทียน
กรุงเทพมหานคร จึงได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ครู บุคลากรในระดับปฐมวัย
เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือก และสร้างกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย
และสามารถนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้
การเรียนรู้ศิลปะนั้นเป็นการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะ
กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ซึ่งต้องอาศัยทั้งจินตนาการ ความคิด การวิเคราะห์
ตลอดจนการสังเคราะห์เพื่อสร้างผลงานศิลปะขึ้นมา
สมองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
การที่จะพัฒนาการทำงานของสมองนั้นต้องอาศัยการจัดกิจกรรมที่สามารถกระตุ้นให้สมองทั้ง
2 ซีก กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning: BBL) โดยใช้รูปแบบ
5 ขั้นตอน การเรียนรู้แบบ BBL
(Brain Based Learning )
เป็นขั้นตอนและวิธีการ ออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่คุณครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมความพร้อม (Warm Up) เพื่อเป็นการกระตุ้นสมอง
ตามหลักการทำงานของสมอง เมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีความสุข
สมองจะหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งสารนี้มีความสำคัญมาก
ช่วยให้มีจิตใจที่สงบและเกิดสมาธิ ซึ่งจะแตกต่างจาก เอนดอร์ฟิน (Endorphin) และ โดพามีน (Dopamine) ที่จะช่วยให้มีความสุขและสนุกสนาน
ซึ่งนับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยทางโรงเรียนได้กำหนดไว้ว่า
กิจกรรมเคลื่อนไหวทุกชั่วโมงที่ครูเข้าสอน ครูจะต้อง Warm Up
ก่อนเสมอ โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที
ขั้นตอนที่ 2 : เรียนรู้ (Learning Stage) ในขั้นตอนนี้จะคำนึงถึงหลักการทำงานของสมองที่ว่า “เรียนรู้จากง่ายไปหายาก เรียนรู้จากของจริง
และจากการสัมผัส” จากการศึกษาทางประสาทวิทยาศาสตร์พบว่า “มือ” เป็นอวัยวะที่มีประสาทสัมผัสที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
รองลงมาคือ “ปาก” นั่นก็หมายถึง ต้องให้เด็กพูด หรือสื่อสารจะช่วยให้เด็กสามารถเชื่อมโยงเรื่องได้
ดังนั้น กิจกรรมเสริมประสบการณ์การออกแบบรูปแบบการสอน สื่อการสอน
โดยคุณครูคำนึงถึงหลักการทำงานของสมองอย่างมาก การเรียนการสอนจึงจะประสบความสำเร็จ
ในขั้นตอนที่ 2 นี้ มีขั้นตอนย่อยที่สำคัญหนึ่งคือ “การสรุปในแต่ละชั่วโมง” ทางโรงเรียนได้สนับสนุนให้มีการฝึกอบรม
ตลอดจนหนังสือที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คุณครูใช้เป็นเครื่องมือในการสรุปที่ช่วยให้เด็กเกิดความสนุก
เกิดการเรียนรู้ และจดจำได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นการฝึก
ขั้นนี้จะสอดคล้องกับหลักการทำงานของสมองที่ว่า “สมองจะจดจำได้ดีนำไปสู่ความจำระยะยาว
(Long-term Memory) ต้องผ่านกระบวนการฝึกซ้ำๆ” คำว่า “ซ้ำๆ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง
การทำโจทย์เดิมซ้ำๆ แต่หมายถึงการใช้หลักการ เช่น หลักการบวก
ก็นำไปใช้กับการบวกที่แตกต่างกันออกไปในโจทย์
คุณครูจึงจำเป็นต้องออกแบบใบงานที่แตกต่างออกไป เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนเรื่อยๆ
ขั้นตอนที่ 4 : ขั้นการสรุป
ขั้นนี้เป็นการสรุปเมื่อจบบทเรียนหรือหน่วย ซึ่งแตกต่างจากขั้นตอนที่ 2
ซึ่งเป็นการสรุปในแต่ละชั่วโมง ในขั้นตอนนี้เป็นการเชื่อมโยงความรู้ทั้งหน่วย
โดยใช้คำถาม ฝึกให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้ภายในบทเรียน
สอดคล้องกับหลักการทำงานของสมองที่ว่า “สมองเรียนรู้เป็นองค์รวม” ซึ่งขั้นตอนนี้มีความสำคัญต่อเด็กมาก
และเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างยาก ครูเองก็จำเป็นต้องฝึกฝนบ่อยๆ เช่นกัน
ขั้นตอนที่
5 : ขั้นการประยุกต์ใช้ทันทีทันใด การที่เด็กเรียนแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้นั้น
ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ถึงร้อยละ 90 ดังนั้น เมื่อจบบทเรียน คุณครูต้องคิด
ต้องออกแบบ เชื่อมโยงความรู้ทั้งหน่วย นำใบงานมาให้เด็กวาดภาพ
ต่อเติมจากสิ่งที่ได้รับความรู้มาต่อยอดความรู้โดยองค์รวม
ผลที่เกิดขึ้นกับครู :
ทำให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการทำงานของสมองเพิ่มมากขึ้น
และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง ครูมีความสุข กระตือรือร้นในการทำงาน
มีความมั่นใจและเกิดความท้าทายในการประกอบวิชาชีพครู โดยนำไปพัฒนาสื่อการสอนแบบonline
onhdad เพื่อใช้ในการสอนเด็กช่วงการแพร่เชื้อโรคโควิด 19
ผลที่เกิดกับนักเรียน : นักเรียนมีความสุข มีสมาธิ
มีวินัยมากขึ้น มีความกระตือรือร้น ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และกล้าแสดงออกมากขึ้น
นอกจากนี้นักเรียนมีพัฒนาการด้านการอ่านและการเขียน มีพัฒนาการทางความคิด สามารถเชื่อมโยงความรู้ตามทันเทคโนโลยีการเรียนรู้ผ่านสื่อการสอนช่วง
onlaine onhand และคิดวิเคราะห์ได้
ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จในการนำหลักการพัฒนาสมองมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดสะแกงามนั้น
สามารถกล่าวได้ว่าเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งได้เห็นถึงความสำคัญและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ดังนั้น วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งต่อการจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดี