๑. ความสำคัญของผลงานหรือนวัตกรรม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑
กำหนดความสำคัญของการอ่านไว้ในสาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ : กำหนดให้ผู้เรียน
ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาและมีนิสัยรักการอ่าน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒ )พ.ศ. ๒๕๔๕ และ(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๔ ข้อ (๓) กำหนดให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น
รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
โรงเรียนจึงจัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อพัฒนานักเรียนอย่างเต็มตามศักยภาพและปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่นักเรียน จากการดำเนินงานโครงการโรงเรียนรักการอ่านในปีการศึกษา
๒๕๖๒ พบว่า
การมีส่วนร่วมชุมชนและการสร้างนิสัยรักการอ่านเป็นจุดที่ต้องพัฒนาต่อในปีการศึกษา
๒๕๖๓ และทางโรงเรียนวัดโพธิ์(ราษฎร์ผดุงผล) ยังประสบกับปัญหานักเรียนอ่านไม่ออก อ่านไม่คล่อง เนื่องมาจากนักเรียนขาดการพัฒนาด้านการอ่านอย่างต่อเนื่อง
ผู้ปกครองไม่สามารถเสริมความรู้ให้กับนักเรียน ไม่มีเวลาสอนอ่านเขียน
เพราะส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง
กรรมกร รับจ้างทั่วไป จึงมีสภาพเศรษฐกิจไม่ดี นักเรียนส่วนหนึ่งย้ายติดตามผู้ปกครองมาทำงานในเขตนี้ จะมีปัญหาในการเรียนรู้ที่ไม่ต่อเนื่อง
นักเรียนบางคนที่มาเข้าใหม่อ่านไม่ออก
อ่านไม่คล่อง เนื่องจากมีการย้ายกลางคันระหว่างเรียน
นอกจากนี้นักเรียนขาดความต่อเนื่องในการสร้างนิสัยรักการอ่าน
สาเหตุอาจจะเกิดจากการที่ครูและนักเรียนมีกิจกรรมด้านอื่นที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร
การใช้เวลาว่างจึงเป็นการทำกิจกรรมอื่นๆซึ่งทำให้ผู้เรียนไม่มีเวลาว่างที่จะใช้บริการของทางห้องสมุดหรือมุมหนังสือในห้องเรียน นักเรียนบางส่วนยังมีปัญหาด้านการอ่าน
เนื่องมาจากเป็นนักเรียนที่ขาดความพร้อมทางด้านวุฒิภาวะมีความบกพร่องทางการอ่าน ทางโรงเรียนวัดโพธิ์(ราษฎร์ผดุงผล)
เห็นความสำคัญของการอ่านว่าจะสามารถช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ซึ่งนำไปสู้การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข การที่ผู้เรียนจะอ่านได้ อ่านคล่อง
ไม่ใช่ทักษะที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่ต้องมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน การสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนจึงเป็นหน้าที่ของครูและผู้ปกครองทุกคนที่จะช่วยกันส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญและมีนิสัยรักการอ่าน คณะกรรมการโครงการโรงเรียนส่งเสริมการอ่าน
จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียนและนอกสถานที่
เพื่อให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะการอ่านที่ดีขึ้น
๒.
จุดประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
๒.๑ เพื่อฝึกทักษะด้านการอ่านให้กับนักเรียน
๒.๒ เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับนักเรียน
๒.๓ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
นิยามศัพท์เฉพาะ
ทักษะด้านการอ่านหมายถึงการอ่านคำพื้นฐานจากหนังสือเรียนภาษาไทยของกระทรวงศึกษาธิการรักการ
อ่านหมายถึงพฤติกรรมที่ชอบอ่านหนังสือที่กระทำเป็นประจำโดยแสดงให้เห็นทางพฤติกรรมได้แก่การใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือสมใจทองเรือง (๒๕๓๗ : ๑๘– ๒๔)
๓. กระบวนการผลิตผลงานหรือขั้นตอนการทำงาน
๓.๑ ประชุมคณะกรรมการโครงการโรงเรียนส่งเสริมการอ่านเพื่อกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรม
๓.๒ กำหนดและมอบหมายผู้รับผิดชอบแต่ละกิจกรรม
๓.๓ ดำเนินการจัดกิจกรรมดังนี้
๓.๓.๑ กิจกรรมการแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออกอ่านไม่คล่อง
๓.๓.๒ กิจกรรมการท่องอาขยาน
๓.๓.๓ กิจกรรมภาษาไทยวันละคำ
๓.๓.๔ กิจกรรมการผลิตสื่อการอ่านและการเขียน
๓.๔ ร่วมกับโครงการพัฒนาห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
๓.๕ ร่วมกับโครงการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้๘กลุ่มสาระจัดกิจกรรมการอ่าน
๓.๖ ขอความร่วมมือจากผู้ปกครองให้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน เช่น พ่อแม่เล่านิทานให้ลูกฟัง
อ่านหนังสือกับลูก อ่านหนังสือให้ลูกฟัง บริจาคหนังสือหรือสนับสนุนงบประมาณในการทำกิจกรรม
๓.๗ ร่วมมือกับคณะครูจัดทำกิจกรรมส่งเสริมอ่านให้กับนักเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๖ ดังนี้
ชั้นอนุบาลศึกษา
- คุ้นเคยในพยัญชนะ
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ -
สะกดคำนำการอ่าน
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๒ -
เน้นอ่านคำ ย้ำทุกกาล
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๓ -
อ่านคำยาก จากตำรา
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๔ -
ฝึกอ่านกลอน มากคุณค่า
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๕ -
พาแต่งเติมเสริมการอ่าน
ชั้นประถมศึกษาปีที่
๖ -
เน้นเห็นค่า คิดวิเคราะห์ เหมาะสถานการณ์
๓.๘ ดำเนินงานตามปฏิทินปฏิบัติงาน
๓.๙ ตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ
๓.๑๐ สรุปผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในโครงการเพื่อวางแผนพัฒนาในครั้งต่อไป
๔. ผลการดำเนินงาน/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ
๔.๑
การแก้ไขปัญหาการอ่านไม่ออก อ่านไม่คล่อง
นักเรียนพัฒนาทักษะ ด้านการอ่านคิดเป็นร้อยละ ๘๓.๙๓
๔.๒ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึง
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ มีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านที่ดีขึ้น โดยเปรียบเทียบผลการทดสอบการอ่านจากแบบทดสอบการอ่านของสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร นักเรียนพัฒนาทักษะด้านการอ่านระดับอ่านคล่องและอ่านได้ ๔๐๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๗๑ นักเรียนอ่านไม่คล่องและอ่านไม่ได้ ๑๘
คน ร้อยละ
๔.๒๙ ได้รับการพัฒนาการอ่านอย่างต่อเนื่อง
๔.๓ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ผ่านการประเมินความสามารถด้านการอ่านออกของผู้เรียน (Reading Test : RT) คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๘๑.๗๗ สูงกว่าระดับประเทศ
๔.๔ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ผ่านการสอบประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน (NT;
National Test) คะแนนเฉลี่ยร้อยละ
๕๔.๑๕ สูงกว่าระดับประเทศ