ลักษณะสำคัญของวิธีปฏิบัติในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาที่เป็น
Best
Practices มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1. โรงเรียนมีวิธีปฏิบัติที่ดำเนินการบรรลุผลได้สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชนหรือผู้ปกครองที่มีต่อสถานศึกษา และเป็นวิธีปฏิบัติที่สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนในสถานศึกษาได้
2. วิธีปฏิบัตินั้นผ่านกระบวนการนำไปใช้อย่างเป็นวงจร จนเห็นผลอย่างชัดเจนว่า ทำให้เกิดคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ วิธีปฏิบัตินั้นมีกระบวนการ PDCA จนเห็นแนวโน้มตัวชี้วัดความสำเร็จที่ดีขึ้น
3. สถานศึกษาสามารถบอกเล่าถึงวิธีปฏิบัตินั้นได้ว่า “ทำอะไร” (what) “ทำอย่างไร” (how)และ”ทำไมจึงทำ หรือ ทำไมจึงไม่ทำ” (why)
4.
ผลลัพธ์จากวิธีปฏิบัตินั้น
เป็นไปตามองค์ประกอบ ข้อกำหนดของการพัฒนาคุณภาพเชิงระบบ
5. วิธีปฏิบัตินั้น สามารถระบุได้ว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญที่ชัดเจน และปัจจัยนั้นก่อให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
6. วิธีปฏิบัตินั้นให้กระบวนการจัดการเรียน (KM) เช่น การเล่าเรื่อง (Storytelling) ในการถอดบทเรียนจากการดำเนินการ
1. วิธีหรือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ของโรงเรียนคลองกุ่ม (เสรีไทย อนุสรณ์)
1. วิธีปฏิบัตินั้นดำเนินการบรรลุผลได้สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชนหรือผู้ปกครองที่มีต่อสถานศึกษา หรือเป็นวิธีปฏิบัติที่สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนในสถานศึกษาได้ ดังนี้
1.1 โรงเรียนมีการการวางแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน
1.2 ก่อนการดำเนินงานมีการออกแบบสอบถามนักเรียน ชุมชน ผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
1.3 ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
1.4 สรุปผล/รายงาน
1.5 ปรับปรุงแก้ไข
2
โรงเรียนมีวิธีปฏิบัติผ่านกระบวนการนำไปใช้อย่างเป็นวงจร
จนเห็นผลอย่างชัดเจนว่า ทำให้เกิด
คุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ วิธีปฏิบัตินั้นมีกระบวนการ PDCA จนเห็นแนวโน้มตัวชี้วัดความสำเร็จที่ดีขึ้น ดังนี้
1.
ขั้นวางแผนดำเนินงาน (PLAN)
1.1 ประชุมบุคลากรเพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจร่วมกันถึงวิธีหรือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
1.2 นำเสนอโครงการ/กิจกรรม
ที่สนับสนุนวิธีหรือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice)
ต่อฝ่ายบริหารเพื่อขออนุมัติ
1.3 จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน
1.4 ประชุมคณะกรรมการเพื่อวางแผนดำเนินงาน
2 ขั้นดำเนินการ (DO)
2.1 ขั้นเตรียมการ
2.2 ขั้นดำเนินการตามโครงการ/กิจกรรม ที่สนับสนุนวิธีหรือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best Practice)
.3 ขั้นตรวจสอบ ทบทวน และประเมินผล
(CHECK)
3.1 นิเทศ กำกับ ติดตาม
3.2 ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการ/กิจกรรม
4 ขั้นปรับปรุงแก้ไข/พัฒนา (ACT)
4.1 รวบรวมและสรุปรายงานผลโครงการ/กิจกรรมเสนอฝ่ายบริหารทราบ
3. สถานศึกษาสามารถบอกเล่าถึงวิธีปฏิบัตินั้นได้ว่า “ทำอะไร” (what) “ทำอย่างไร” (how) และ”ทำไม จึงทำ หรือ
ทำไมจึงไม่ทำ” (why)
“ทำอะไร” (what)
โรงเรียนคลองกุ่ม (เสรีไทย อนุสรณ์) ได้ดำเนินการจัดการศึกษากิจกรรมนอกหลักสูตรกิจกรรมงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ (11 งานอาชีพ) ให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ทักษะงานอาชีพควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนด้านวิชาการ ทักษะงานอาชีพเป็นสิ่งต้องมีการพัฒนาให้เจริญและเหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาและชุมชน ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง (Change) ทำให้เกิดความก้าวหน้า (Progress) และเติบโตเต็มที่ (Growth) ด้วยเหตุผลดังกล่าวโรงเรียนตระหนักและเห็นความสำคัญของงานอาชีพจึงดำเนินการดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงานงานอาชีพตามกลุ่มสนใจทั้งเรื่องของผลผลิต (Outputs) และผลลัพธ์ (Outcomes) และตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน
2.
กำหนดเป้าหมาย (Targets) และวัตถุประสงค์ (Objectives) ไว้ล่วงหน้า
3. มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรและกระบวนงานให้สอดคล้องกับความประหยัด(Economy) ประสิทธิภาพ (Efficiency) และประสิทธิผล (Effectiveness)
ความประหยัด หมายถึง การใช้ต้นทุนหรือทรัพยากรน้อยที่สุดในการดำเนินกิจกรรมหรือการผลิต
ความมีประสิทธิภาพ หมายถึง
การปฏิบัติงานที่ได้ผลผลิตมากกว่าปัจจัยนำเข้า
ความมีประสิทธิผล หมายถึง
ระดับการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
“ทำอย่างไร” (how)
1. วางแผน กำหนดทิศทางโดยรวมว่าจะทำอะไร อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของการวางยุทธศาสตร์หรือแผนกลยุทธ์ เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในสถานศึกษา (SWOT Analysis) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) อันจะนำไปสู่การกำหนดพันธกิจ (Mission) วัตถุประสงค์ (Objective) เป้าหมาย (Target) และกลยุทธ์การดำเนินงาน (Strategy) รวมทั้งพิจารณาปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จของสถานศึกษา และสร้างตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (Key Performance Indicators) ในด้านต่าง ๆ
2. กำหนดรายละเอียดของตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน เมื่อผู้บริหารสถานศึกษาได้ทำการ ตกลงจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร “งานอาชีพตามกลุ่มสนใจ” (11 งานอาชีพ) เริ่มดำเนินการสำรวจ เพื่อหาข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับสภาพในปัจจุบัน (Baseline Data) เพื่อนำมาช่วยกำหนดความชัดเจนของเป้าหมายทั้งในเชิง ปริมาณ (Quantity) คุณภาพ (Quality) เวลา (Time) และสถานที่หรือความครอบคลุม (Place)
3. วัดและตรวจสอบผลการดำเนินงาน เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน รายเทอม หรือรายปีเป็นต้น เพื่อแสดงความก้าวหน้าและผลของการดำเนินงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ทางโรงเรียนจัดให้มีคณะบุคคลเพื่อตรวจสอบผลการดำเนินงานของ
“งานอาชีพตามกลุ่มสนใจ 11
งานอาชีพ” ที่สถานศึกษากำหนด
ให้รางวัลตอบแทนตามระดับของผลงาน
นอกจากนี้อาจจะมีการให้ข้อเสนอแนะหรือกำหนดมาตรการ บางประการเพื่อให้การปรับปรุงผลงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ทำไมจึงทำ หรือ ทำไมจึงไม่ทำ” (why)
ผลจากการดำเนินงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ
ผลจากการปฏิบัตินั้นเป็นไปตามองค์ประกอบข้อกำหนดของการพัฒนาเชิงระบบ คิดเป็นร้อยละ
98.16
งานอาชีพตามกลุ่มสนใจ คือ
โครงการที่ทางโรงเรียนคลองกุ่ม (เสรีไทย อนุสรณ์) ดำเนินการ
จัดทำเพื่อส่งเสริมพัฒนา
แก้ไข นักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ได้นำการพัฒนาเชิงระบบมาใช้ในการดำเนินการจัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ
ดังนี้ ระบบ
คือ ภาพส่วนรวมของโครงสร้างหรือของขบวนการอย่างหนึ่งที่มีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ต่าง ๆ ที่รวมกันอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจการจัดการเรียนการสอนอาชีพตามกลุ่มสนใจ
ได้นำวิธีระบบมาใช้โดยมีการวางแผนและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
โดยคำนึงถึงองค์ประกอบ 4 ประการ
1.
วัตถุดิบ (Input)
2.
กระบวนการ
(Process)
3.
ผลผลิต
(Output)
4.
การตรวจผลย้อนกลับ
(Feedback)
ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ส่วนนี้จะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ดังภาพ และทางโรงเรียนได้จัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้อย่างประหยัดและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ปรับปรุงห้องต่าง ๆ เพื่อจัดเป็นแหล่งเรียนรู้งานอาชีพตามความสนใจ ได้แก่ ห้องขนมไทย ห้องขนม-อบ ห้องงานช่างพื้นฐาน ห้องงานประดิษฐ์ ฯลฯปรับสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนเพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เป็นต้น โดยนำลักษณะสำคัญของวิธีระบบมาใช้ในการดำเนินงาน คือ
1.
เป็นการทำงานร่วมกันของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน
2.
แก้ปัญหานักเรียนทั้งด้านการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
3.
ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสม
4.
แก้ปัญหาใหญ่ โดยแบ่งออกเป็นปัญหาย่อย
ๆ เพื่อสะดวกในการแก้ปัญหา เช่น นักเรียนส่วนใหญ่
ของโรงเรียนคลองกุ่ม
(เสรีไทย อนุสรณ์) มีทักษะด้านงานอาชีพพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำ ทางโรงเรียนจึงแก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ
(11
งานอาชีพ) เป็นต้น
5. จัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจจริง และเป็นที่ยอมรับทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
5. วิธีปฏิบัตินั้น สามารถระบุได้ว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญที่ชัดเจน
และปัจจัยนั้นก่อให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
โรงเรียนคลองกุ่ม
(เสรีไทย อนุสรณ์) ได้กำหนดวิธีปฏิบัติ สามารถระบุปัจจัยที่สำคัญและชัดเจน
เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ (11 งานอาชีพ) ดังนี้
1.
สำรวจความต้องการของผู้เรียนตามความเหมาะสมของบริบทและท้องถิ่น
2. นำข้อมูลมาวิเคราะห์ (SWOT) เพื่อวางแผนดำเนินการจัดทำหลักสูตรด้านงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ
3.
จัดทำหลักสูตรเพื่อฝึกอาชีพพื้นฐานตามความสนใจของผู้เรียน
4.
จัดหาแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
5.
การสร้างเสริมประสบการณ์อาชีพ
โดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดทักษะพื้นฐานที่
จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ
และเตรียมพร้อมสู่การประกอบอาชีพตามความสนใจและความถนัด
6.
ติดตาม กำกับ และประเมินผล
7.
ส่งต่อหรือจัดหาสถานประกอบการ
โรงเรียนคลองกุ่ม (เสรีไทย อนุสรณ์)
ได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ (11 งานอาชีพ) โดยนำกระบวนการจัดการเรียนการสอน (KM)
มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
การบริหารความรู้ (Knowledge Management : KM) เป็นเทคนิคการบริหารเกี่ยวกับการนำความรู้ในตัวคน
ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้ (Intangible Asset)
มาใช้ประโยชน์ในองค์การให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ร่วมกัน
มีการแบ่งปันหรือถ่ายทอดต่อกัน ผู้บริหาร บุคลกรทางการศึกษาของโรงเรียนคลองกุ่ม
(เสรีไทย อนุสรณ์) ในฐานะที่เป็นสถาบันแห่งการเรียนรู้ มีการพัฒนาส่งเสริมให้บุคคลในองค์การมีวัฒนธรรมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มุ่งเน้นแนวคิดในการจัดการความรู้
3 ประเด็น คือ
1.
นำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนในการจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
และ
สามารถนำความรู้ออกมาใช้ทันเหตุการณ์และสามารถ่ายทอดความรู้ต่อกันได้สะดวก
2.
การจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และเทคนิคในการถ่ายทอดประสบการณ์
ความรู้ที่มาจากในตัวบุคคล
(Tacit
Knowledge) เพื่อให้เกิดความรู้ที่เป็นลายลักษณ์อักษร (Explicit
Knowledge) เช่น การจัดกิจกรรมงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ (11 งานอาชีพ) เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ทักษะงานอาชีพ
จากวิทยากรผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญเฉพาะด้านถ่ายโยงองค์ความรู้จากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่ง
(ผู้เรียนหรือกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจงานอาชีพ) จนเกิดเป็นความรู้
ทักษะที่ยั่งยืนตลอดชีวิต จัดทำหลักสูตรงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ (11 งานอาชีพ) อันเกิดจากความรู้ที่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นต้น
3.
ร่วมกันสร้างพฤติกรรมการเรียนรู้ในลักษณะการแข่งขันการถ่ายทอดและการสร้างสรรค์
ความรู้ เช่น
นักเรียนคิดสร้างสรรค์งานประดิษฐ์จากเศษผ้าหรือวัสดุเหลือใช้
(งานอาชีพตามกลุ่มสนใจงานประดิษฐ์), นักเรียนคิดสร้างสรรค์เมนูอาหารว่างและน้ำดื่มสมุนไพรที่แตกต่างจากกระบวนการจัดการเรียนการสอน
(กลุ่มงานอาชีพอาหารว่างและเครื่องดื่มสมุนไพร) นักเรียนสามารถต่อยอดทางความคิดหลังจากได้รับความรู้จากการจัดดารเรียนการสอนงานอาชีพตามความสนใจ
(11 งานอาชีพ) นักเรียนสามารถนำความรู้จากการเรียนการสอนไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
หารายได้ เช่น กลุ่มงานอาชีพขนมไทย ขนมอบและ เบเกอรรี่ นวดเพื่อสุขภาพ
น้ำดื่มมาตรฐานระบบโรงงาน เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของวิธีหรือแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ
1.
เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้
ความเข้าใจและมีทักษะพื้นฐานด้านงานอาชีพ
2.
เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปปฏิบัติและปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้
3.
เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักเรียนในการประกอบอาชีพต่อในอนาคต
เป้าหมาย
ตัวชี้วัดเชิงประมาณ
นักเรียนโรงเรียนคลองกุ่ม (เสรีไทย อนุสรณ์) ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล-ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ได้เรียนงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ จำนวน 1,624 คน คิดเป็นร้อยละ 100
ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ
นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะพื้นฐานด้านงานอาชีพ สามารถปฏิบัติ
และปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ และมีพื้นฐานสำคัญสำหรับประกอบอาชีพในอนาคต
คิดเป็นร้อยละ 95
จากการที่ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มงานอาชีพตามความสนใจ
ทำให้นักเรียน มีคุณลักษณะ ใฝ่รู้
ใฝ่เรียน สามารถแก้ปัญหา และแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง มีทักษะกระบวนการคิด มีกระบวนการในการทำงาน มีความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงาน มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่โรงเรียนกำหนด
ทำให้โรงเรียนผ่านการประเมินและได้รับการรับรองจาก สมศ.รอบสาม ผลการดำเนินการโครงการงานอาชีพตามกลุ่มสนใจ
(11
งานอาชีพ) นักเรียนมีความพึงพอใจ คิดเป็นร้อยละ 98.16 นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะพื้นฐานด้านงานอาชีพ สามารถนำไปปฏิบัติและปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้และเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักเรียนในการประกอบอาชีพต่อในอนาคตผู้ปกครองให้การสนับสนุนและมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการเรียนการสอนส่งผลให้โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของกรุงเทพมหานคร แสดงผลงานด้านงานอาชีพ