การจัดการเรียนการสอนตามแนวทางโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย
ประเทศไทย มุ่งเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry-Based Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนมีบทบาทเป็นผู้ค้นคว้า
คิดวิเคราะห์ ทดลอง และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผ่านการเรียนรู้ที่เป็นระบบและมีขั้นตอนชัดเจน
โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกและกระตุ้นให้เกิดการคิดและการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ขั้นตอนของกระบวนการวัฏจักรสืบเสาะ
(Inquiry
Cycle) ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
ขั้นที่
๑ ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ
“สิ่งที่เด็กสนใจ”
คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่มีพลังที่สุด
โดยเฉพาะในเรื่องของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซึ่งอยู่ใกล้ตัวและเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ครูจึงเปิดโอกาสให้เด็กได้ตั้งคำถามจากสิ่งที่พวกเขาสงสัย
ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ พัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์
และสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
ขั้นที่
๒ รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน
เมื่อเด็กพบคำถามใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์รอบตัว
เด็กมักจะมีแนวคิดหรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้น (Initial Ideas
or Hypotheses) ที่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัว เช่น สิ่งที่เคยเห็น
เคยได้ยิน หรือเคยทดลองมาก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ครูจึงเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงแนวคิดเบื้องต้น เช่น การเล่า การวาดภาพ
หรือการจำลองสถานการณ์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้ครูเข้าใจทิศทางความคิดของเด็ก
การส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการสำรวจและตรวจสอบด้วยตนเองอย่างเหมาะสม ช่วยให้เด็กได้ฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล
ทำให้เด็กมีความมั่นใจ และรู้สึกว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นจากสิ่งที่ตนเอง
“เข้าใจและสงสัย” อย่างแท้จริง
ขั้นที่
๓ ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ
หลังจากที่เด็กได้ตั้งคำถามจากสิ่งที่ตนเองสงสัย
และได้แสดงความคิดหรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้นแล้ว
ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญคือการลงมือค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ผ่านการสำรวจ ทดลอง
หรือการสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยมีข้อสันนิษฐานเป็นแนวทางที่เด็กต้องการพิสูจน์
กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กได้ฝึกคิดอย่างมีระบบ
แต่ยังส่งเสริมให้เกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การสังเกต การจำแนก
การตั้งสมมติฐาน การทดลอง และการสรุปผล ทั้งยังส่งเสริมความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการใช้ภาษาในการสื่อสารความคิดอีกด้วย
ขั้นที่
4 สังเกตและบรรยาย
ในการทำกิจกรรมตามแนวทางบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย
เด็กสามารถสังเกตเห็นลักษณะภายนอก การเปลี่ยนแปลง
หรือความแตกต่างของสิ่งที่นำมาศึกษา เช่น รูปร่าง สี กลิ่น หรือเสียงของวัตถุ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อทดลอง
การเปรียบเทียบระหว่างสิ่งของหรือสถานการณ์ หรือผลที่เกิดจากการกระทำของเด็ก นอกจากนี้ครูได้เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดบรรยาย
ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่ช่วยให้เด็กได้ ฝึกคิดอย่างเป็นระบบและใช้ภาษาในการถ่ายทอดความคิดซึ่งถือเป็นรากฐานที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับต่อไป
ขั้นที่
๕ บันทึกข้อมูล
การบันทึกผลการทดลองหรือผลการสังเกตที่เด็กค้นพบด้วยตนเอง
ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เด็ก สะท้อนความเข้าใจของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นการฝึกให้เด็กคิดอย่างมีเหตุผล สื่อสารความคิด และแสดงออกทางความรู้สึกได้อย่างสร้างสรรค์
เด็กในช่วงปฐมวัยยังไม่สามารถเขียนข้อความได้ชัดเจน การบันทึกข้อมูลครูจึงเปิดโอกาสให้เด็กใช้วิธีที่หลากหลาย
ซึ่งสะท้อนความคิดของตนเองได้ดีที่สุด เช่น การวาดภาพ การเล่าเรื่อง
หรือการใช้สัญลักษณ์ง่าย ๆ ที่เข้าใจได้ เป็นต้น
ขั้นที่
๖ อภิปรายผล
การอภิปรายผลถือเป็นกระบวนการสำคัญในกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
เพราะเป็นช่วงเวลาที่เด็กได้ย้อนกลับมาทบทวนสิ่งที่ตนเองได้ทดลองทำและสังเกตพร้อมเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนเคยคิดไว้ก่อนหรือข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้ในตอนต้น
สำหรับเด็กปฐมวัยการอภิปรายผลไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของการวิเคราะห์เชิงวิชาการ
แต่เป็นการที่ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้สะท้อนสิ่งที่ตนเองเข้าใจหรือค้นพบจากประสบการณ์ของตนเอง
ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาความคิดอย่างเป็นระบบ และฝึกให้เด็กรู้จักตั้งคำถามใหม่ ๆ
จากสิ่งที่เรียนรู้
ด้านนักเรียน
1. ด้านพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดวิเคราะห์
-
เด็กมีทักษะในการตั้งคำถาม รู้จักสงสัยใคร่รู้ในสิ่งรอบตัว
-
สามารถคิดอย่างมีเหตุผล
รู้จักเชื่อมโยงสิ่งที่สังเกตเห็นกับประสบการณ์เดิม
-
ฝึกการตั้งข้อสันนิษฐานจากประสบการณ์จริง
และทดสอบสมมุติฐานด้วยตนเอง
-
พัฒนาความสามารถในการจำแนก เปรียบเทียบ และสรุปผลอย่างง่าย
2. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
-
เด็กได้ฝึกใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
-
ส่งเสริมการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ได้แก่ การตั้งคำถาม
การรวบรวมข้อมูล การทดลอง การสังเกต การบันทึกผล และการอภิปราย
-
เด็กสามารถใช้วัสดุและอุปกรณ์อย่างเหมาะสมและปลอดภัยในการทดลองอย่างง่าย
3. ด้านการใช้ภาษาและการสื่อสาร
-
เด็กมีโอกาสในการพูด แสดงความคิดเห็น และเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ของตนเอง
-
ส่งเสริมการใช้ภาษา การพูด วาดภาพ
หรือสัญลักษณ์ในการบันทึกสิ่งที่สังเกตเห็น
-
พัฒนาทักษะการฟังผู้อื่น การสื่อสารเชิงเหตุผล
และการอธิบายความคิดของตนเอง
อย่างมั่นใจ
4. ด้านอารมณ์และจิตใจ
-
เด็กมีความมั่นใจในตนเอง กล้าคิด กล้าทดลอง และกล้าแสดงออก
-
เกิดความภาคภูมิใจในผลงานและการค้นพบของตนเอง
-
รู้จักอดทน รอคอย และยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
5. ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น
-
เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม การแบ่งปัน
การร่วมมือกันในการทดลองหรือแก้ปัญหา
-
ฝึกทักษะการประสานงาน การช่วยเหลือ และการเคารพซึ่งกันและกัน
6. ด้านเจตคติเชิงวิทยาศาสตร์
-
เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
-
เปิดใจยอมรับสิ่งที่ไม่รู้ และมีความพยายามค้นหาคำตอบ
-
เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่กลัวที่จะลองผิดลองถูกอย่างมีจุดมุ่งหมาย
ด้านครูผู้สอน
ครูมีโอกาสเรียนรู้วิธีการ
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้จากความสนใจของเด็ก โดยไม่ยึดติดกับตำราแบบเดิม ๆ แต่เน้น
“การเรียนรู้ที่เกิดจากคำถามของเด็ก” เรียนรู้ที่จะมอง “ความสงสัยของเด็ก”
เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่มีความหมาย ช่วยพัฒนาทักษะการตั้งคำถามแบบเปิด การชวนคิด
และการกระตุ้นให้เด็กสำรวจหาคำตอบด้วยตนเอง มีทัศนคติเชิงบวกต่อการทดลอง
การลองผิดลองถูก และกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ เรียนรู้ที่จะสังเกตพฤติกรรม
ความสนใจ การตั้งคำถาม และการมีส่วนร่วมของเด็กอย่างละเอียด ซึ่งช่วยให้เข้าใจ
“วิธีคิดของเด็ก” มากกว่าการมองเพียงผลลัพธ์ การเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
(Facilitator) เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สอน” ไปเป็น “ผู้นำทางการเรียนรู้” ที่คอยกระตุ้น
สนับสนุน และเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำจริง เสริมสร้างศักยภาพในการจัดกิจกรรมที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
พัฒนาทักษะวิชาชีพครูอย่างลึกซึ้ง ในด้านการคิด วิเคราะห์ ออกแบบ ประเมิน
และสะท้อนผลการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ พร้อมกับการสร้างความสุข ความเข้าใจ
และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการเรียนรู้ของครูและเด็กไปพร้อมกัน
ด้านโรงเรียน
โรงเรียนมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาเด็กไทยให้เป็นผู้มีทักษะการคิดวิเคราะห์
กล้าคิด กล้าถาม กล้าทดลอง
และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
โรงเรียนได้บูรณาการแนวคิดและกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามหลักการวัฏจักรการสืบเสาะ
(Inquiry
Cycle) มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
และส่งเสริมครูผู้สอนให้พัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดและการลงมือปฏิบัติของผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ
ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ - จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ด้วยผลสำเร็จของการดำเนินงาน โรงเรียนจึงได้รับตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นเกียรติยศสูงสุด และเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในความมุ่งมั่นของผู้บริหาร คณะครู บุคลากร ตลอดจนชุมชนและผู้ปกครองทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการจัดการศึกษาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง การที่โรงเรียนได้ผ่านการประเมินเพื่อขอรับตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย รอบที่ 4 ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์อย่างยั่งยืน เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่ผู้เรียนในการเป็นพลเมืองแห่งศตวรรษที่ 21 และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป