กระบวนการ/วิธีการดำเนินงานในอดีต
ผลการประเมินความสามารถด้านการอ่านของผู้เรียน
ปีการศึกษา ๒๕๕๕-๒๕๕๗ พบว่า มีผู้เรียนที่มี
ปัญหาการอ่านไม่ออก-ไม่คล่อง
จำนวนมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระและส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ
มีผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ต่ำกว่า
ระดับประเทศ จากผลการประเมินดังกล่าว โรงเรียนจึงมีกระบวนการและนโยบายด้านการอ่าน
โดยผู้บริหารกำหนดนโยบายด้านการพัฒนาด้านการอ่าน
ให้จัดครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช่วยสอนแก้ปัญหาการอ่านของผู้เรียน
และเมื่อประเมินผลการอ่านยังต่ำ ไม่เป็นที่น่าพอใจ ต่อมาในปีการศึกษา ๒๕๕๘-๒๕๕๙
ผู้บริหารได้มีนโยบายการแก้ปัญหาและพัฒนาการอ่าน
โดยการให้ครูทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ไขและพัฒนาการอ่านของผู้เรียนที่อ่านไม่ออก ไม่คล่อง
โดยการแบ่งผู้เรียนที่มีปัญหาดังกล่าวให้ครูทุกคนรับผิดชอบสอนอ่านตามความเหมาะสม
ซึ่งให้ครูจัดหาสื่อการสอนและออกแบบทดสอบการอ่านเอง ส่งผลให้ผลการทดสอบระดับชาติ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสูงกว่าระดับประเทศ
แต่ผลการพัฒนาการอ่านยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ยังมีผู้เรียนบางส่วนที่ยังมีปัญหาด้านการอ่าน ต่อมาโรงเรียนมีการพัฒนาและยกระดับคุณภาพด้านการอ่านและการเขียนเพิ่มมากขึ้นโดยการสร้างเครื่องมือการประเมินการอ่านตามมาตรฐานของโรงเรียนที่ครอบคลุมตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและครอบคลุมทุกระดับชั้น
โดยนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ในการประเมินความสามารถด้านการอ่านของนักเรียน ทุกระดับชั้นและรายงานผลทุกเดือน
เพื่อนำผลมาใช้ในการวางแผนพัฒนาและยกระดับการอ่านอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ในปีการศึกษา
๒๕๖๔ มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙
จึงปรับเปลี่ยนการดำเนินงานด้านการพัฒนาการอ่านในรูปแบบของออนไลน์
สภาพทั่วไป
โรงเรียนวัดกำแพง สำนักงานเขตบางขุนเทียน
กรุงเทพมหานคร เป็นโรงเรียนขนาดกลาง
จัดการศึกษา
ระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ มีผู้เรียนรวมผู้เรียนการศึกษาพิเศษจำนวน 823 คน (ในปีการศึกษา ๒๕๖๔) มีผู้บริหารจำนวน ๓ คน ครู จำนวน 42 คน เจ้าหน้าที่และบุคลากรอื่น ๆ จำนวน 8 คน จากสภาพทั่วไปดังกล่าวซึ่งผู้เรียนมีความแตกต่างกัน ทำให้ยากต่อการบริหารจัดการและการจัดกิจกรรมที่พัฒนาการอ่านที่เหมาะสมในภาพรวม ผู้เรียนขาดความสนใจ โดยประเมินจากการสังเกตการร่วมกิจกรรมการอ่าน การเขียนในโรงเรียน
ลำดับขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมพัฒนา FIOW Chart (แผนภูมิ)
ของวิธีหรือแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ
จากแผนภูมิข้างต้นมีวิธีการดำเนินงานดังนี้
๑. ศึกษาวิเคราะห์
SWOT และทำ TOWS Matrix
ด้านการอ่านผู้เรียนโรงเรียนวัดกำแพง
๒. ประเมินสภาพการอ่านของผู้เรียนทุกระดับชั้น
วิเคราะห์และคัดกรองการอ่านของผู้เรียน
แบ่งเป็นกลุ่ม
อ่านไม่ออก กลุ่มอ่านไม่คล่อง และกลุ่มอ่านคล่อง ผ่านระบบออนไลน์
๓.
ประชุมครูและบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน
เพื่อหาแนวทางและกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาการอ่าน
ตลอดจนแบ่งหน้าที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน
โดยแบ่งผู้เรียนที่มีปัญหาการอ่านให้ครูทุกคนรับผิดชอบสอนอ่าน
พร้อมทั้งมีการรายงานผลอย่างเป็นระบบ
๔.
คณะครูร่วมกันวิเคราะห์ สังเคราะห์
และสร้างสื่อนวัตกรรมหนังสือเล่มเล็กคำพื้นฐานระดับชั้นเรียน
เพื่อนำมาให้ครูและผู้ปกครองใช้สอนและทบทวนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านให้กับผู้เรียนตลอดจนให้ผู้เรียนฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ
๕.
ประชุมผู้ปกครองของผู้เรียนที่มีปัญหาการอ่านผ่านระบบออนไลน์สายชั้น ห้องเรียน
ชี้แจง อภิปราย กำหนดนโยบายในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการอ่าน โดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาการอ่าน
โดยให้ผู้เรียนอ่านหนังสือให้ผู้ปกครองฟัง แล้วบันทึกคำที่อ่านไม่ได้
ลงในสมุดบันทึก และนำมาฝึกอ่านกับครูผู้รับผิดชอบเพื่อฝึกอ่านคำหรือข้อความนั้น ๆ
ให้ถูกต้อง ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวดำเนินการผ่านช่องทางไลน์ เฟชบุ๊ค หรือห้องสนทนาต่าง
ๆ ที่ครูกำหนดขึ้นในแต่ละระดับชั้น
๖.
โรงเรียนจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาการอ่านของผู้เรียนอย่างชัดเจน
โดยจัดให้ผู้เรียนอ่านหนังสือ
คำพื้นฐานในแต่ละระดับชั้นและบันทึกคลิปผลงานนำเสนอต่อครูผู้สอนเพื่อร่วมกันประเมินและหาแนวทางพัฒนาต่อวไป
๗.
โรงเรียนสร้างแบบฝึกเพื่อใช้ประเมินการอ่านของผู้เรียนทุกระดับชั้นเรียนทุกเดือน
นำมาทดสอบและ
รายงานผลทุกเดือนอย่างเป็นระบบเพื่อนำผลมาพัฒนาต่อไป
ผลการดำเนินงาน
๓.๑
โรงเรียนมีผลการประเมินความสามารถด้านการอ่าน ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ (Reading
Test :
RT) สูงกว่าหน่วยงานต้นสังกัดและระดับประเทศ
๓.๒
โรงเรียนมีผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานผู้เรียนระดับชาติ
ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ (National
Test
: NT) สูงกว่าหน่วยงานต้นสังกัดและระดับประเทศทุกด้าน
๓.๓
โรงเรียนมีผลการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๖ (Ordinary
National Educational Test : O-NET) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสูงกว่าระดับประเทศ
๓.๔
นำแนวทางการพัฒนาการอ่านภาษาไทยถอดบทเรียนไปใช้ในการพัฒนาภาษาอังกฤษส่งผลให้ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีผลการประเมินการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๖ (Ordinary
National Educational Test
: O-NET) สูงกว่าระดับประเทศ
๓.๕ ผู้เรียนทุกคนมีผลพัฒนาการอ่านดีขึ้น
๔.
บทเรียนที่ได้รับ
กระบวนการพัฒนาการอ่านของโรงเรียนนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนากลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
ๆ ได้
๕.
ปัจจัยความสำเร็จ
๕.๑ ความร่วมมือของบุคลากรครู
ผู้ปกครองและผู้เรียน
๕.๒ นโยบายด้านการบริหารจัดการ
กระบวนการกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง
๕.๓
กระบวนการประเมินผลและนำมาใช้ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจริง ๆ
๕.๔
มีรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมโดยความจริงใจ
๖.
การเผยแพร่/การได้รับการยอมรับ และ/หรือรางวัลที่ได้รับ
๖.๑ โรงเรียนได้รับรางวัลโรงเรียนส่งเสริมการอ่านดีเด่น
๖.๒ เผยแพร่ผลงานการอ่านกับโรงเรียนที่มีความสนใจพัฒนาการอ่าน